แฮปปี้ใจ เฮลตี้จัง
แนวทางแก้ปัญหา
Unlock active classroom : ปลุกไฟสอนให้ครู ปลุกพลังเรียนรู้ให้เด็ก
เรียบเรียงจาก Healthtalk พิเศษ ตอน เล่นสร้างสุข(ภาวะ) บรรยายโดย รศ.ดร. ปิยวัฒน์ เกตุวงศา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย
“เล่น–เรียน–รู้ : ห้องเรียนที่ปลุกพลังสมองและหัวใจของเด็ก”
จุดเริ่มต้นของห้องเรียนที่มีความสุข ไม่ได้มาจากเด็กเท่านั้น แต่เริ่มจาก “ครู” ที่มีความสุข มีความพร้อม มีความรู้/ทักษะและความเข้าใจ และมีปัจจัยแวดล้อมหรือปัจจัยสนับสนุน ซึ่งหนึ่งแนวทางที่ทำได้จริงคือ ให้เด็กได้
“เล่น–เรียน–รู้” อย่างสมดุล ด้วยกิจกรรมที่กระตุ้นทั้งร่างกายและสมอง ทำให้เด็กมีสมาธิมากขึ้น เรียนรู้ได้ดีขึ้น
เมื่อเด็กขยับ สมองก็พร้อมเรียน
มีงานวิจัยต่างประเทศทำการทดลองสแกนสมองเด็กก่อนและหลังการเคลื่อนไหว 20 นาที พบว่า สมองของเด็กที่ “ได้ขยับร่างกาย” มีคลื่นสมองที่ตื่นตัว สีสันหลากหลาย และพร้อมรับข้อมูลใหม่ ๆ มากกว่าสมองที่นิ่งเฉยจากการนั่งเรียนต่อเนื่อง
สิ่งนี้ยืนยันว่า “การเล่น” คือ ตัวช่วยเปิดประตูสมองให้พร้อมรับการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่ากิจกรรมทางกาย หรือการเล่น ช่วยเสริมพัฒนาการของเด็กทั้ง 5 ด้าน คือ
1) ด้านร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระดูกดี เจริญเติบโตสมวัย
2) ด้านอารมณ์/สังคม ทำให้เกิดความสามารถในการปรับตัว นับถือตัวเองและมีความสุขกับชีวิต
3) ด้านการสื่อสาร/ทักษะชีวิต สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น มีความสามารถในการแก้ปัญหาและสร้างความมั่นใจในตัวเอง
4) ด้านคิดวิเคราะห์ เกิดกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและพัฒนาการด้านการรู้คิด
5) ด้านวิชาการ ความสามารถทางวิชาการเพิ่มขึ้น การเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น
จัดคาบเรียนอย่างไรให้ “เล่น–เรียน–รู้” ลงตัว?
ตัวอย่างง่าย ๆ ที่ครูสามารถเริ่มได้โดยใช้แนวทางตัวอย่าง คือ
🔸 10 นาทีแรก: กิจกรรมเบา ๆ ปลุกสมอง เช่น เกมขยับตัวง่าย ๆ
🔸 30 นาทีถัดไป: เนื้อหาบทเรียนแบบกระชับ พร้อมการมีส่วนร่วม
🔸 10-20 นาทีท้าย: สรุปบทเรียนผ่านกิจกรรมเคลื่อนไหว เช่น เกมคำศัพท์ ละครสั้น หรือการเล่าเรื่อง
รูปแบบนี้ช่วยให้เด็กไม่เบื่อ และครูยังใช้เวลาสอนได้ครบโดยไม่เร่งรีบ ที่สำคัญคือ เด็กจะรู้สึกว่าห้องเรียนคือพื้นที่ที่เขา “เป็นส่วนหนึ่งจริง ๆ”
หลักการออกแบบบรรยากาศและกระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียน
ใช้หลัก 5 ส. ในการออกแบบ คือ
✅ ทำให้เกิดความ”สนุก”
✅ “สมวัย” ตามอายุของเด็ก
✅ “สมดุล” จัดเวลาให้มีการเคลื่อนไหวเพื่อกระตุ้นสมอง แล้วแบ่งช่วงเวลาเข้าสู่กิจกรรมการเรียนรู้
✅ เด็กทุกคนได้เรียนรู้อย่าง“เสมอภาค”
✅ เด็กได้มี “ส่วนร่วม” ในกิจกรรมเรียนรู้
เล่นอิสระ... เพื่อชีวิตที่เป็นสุขเด็ก
โดย คุณประสพสุข โบราณมูล ผู้ประสานงานเครือข่ายเล่นเปลี่ยนโลก
“การเล่น” คือ สัญชาตญาณของการเรียนรู้ เด็กเรียนรู้โลกและตัวเองผ่านการเล่น การเล่นคือความสุขของเด็ก
การเล่นอิสระ คือ การเล่นที่เด็กเป็นคนเลือกเองตามความสนใจ โดยไม่ถูกบังคับให้กําหนดรูปแบบและกฎเกณฑ์ ไม่มีเป้าหมาย ไม่เห็นแก่รางวัล เล่นแบบสนุกสนาน ออกแบบเองตามความต้องการของเด็ก
มีแรงจูงใจจากข้างใน เนื้อหาทุกอย่างเด็กเลือกเอง ไม่ว่าจะเป็นเล่นเดี่ยว เล่นกลุ่ม การเล่นอิสระเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กได้พัฒนาตัวเองทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และจิตใจ
แค่เพียงเปิดพื้นที่เล่นอิสระ
ครอบครัวได้เล่นกับเด็ก ก็ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ลดพฤติกรรมลบ ลดเวลาอยู่หน้าจอ ในช่วงภาวะวิกฤต การเล่นช่วยให้เด็กฟื้นตัวไว มีอารมณ์แจ่มใส ผ่อนคลาย รับมือกับความสับสนวุ่นวายได้ดี
และก้าวข้ามภาวะวิกฤติได้เร็ว
องค์ประกอบของการเล่นอิสระ มีเพียง 4 สิ่งสำคัญ คือ
1) การเล่นอิสระ
2) ผู้อำนวยการเล่น/ ผู้ดูแลการเล่น (Play worker) เป็นใครก็เล่นได้ เป็นผู้ที่สังเกตและไม่คาดหวัง
🔸เชื่อมั่น มั่นใจ ในแนวทางการเล่นอิสระ
🔸เข้าใจธรรมชาติ ความต้องการ และการเรียนรู้ของเด็ก
🔸เป็น “นักสังเกตการณ์” สังเกตการเล่นของเด็กแต่ละคน
🔸มีสติ และเป็นนักฟังที่ดี
🔸สื่อสารเชิงบวก และเป็นต้นแบบที่ดีให้เด็ก
🔸เคารพสิทธิเด็ก ยอมรับ และเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ มั่นใจในความคิดของเด็กในการเล่นอิสระ
🔸เข้าใจพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก และความแตกต่างของเด็กแต่ละครอบครัว
🔸เปิดกว้าง ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตัวเอง พร้อมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
🔸มีทักษะการประเมินความเสี่ยง และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
🔸มองหา และเปิดโอกาสในการเล่นเสมอ
บทบาทหน้าที่ของ Play workers
✅ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเล่นของเด็ก ทั้งอุปกรณ์การเล่น พื้นที่เล่น ช่วงเวลาในการเล่น ที่มีความหลากหลาย และทั่วถึงทุกคน
✅ การอำนวยความสะดวกให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ อย่างมีความสุข สนุกสนาน ส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน และทักษะชีวิต ได้เรียนรู้ข้อตกลงในการเล่นร่วมกัน คอยสังเกตการณ์โดยไม่แทรกแซงการเล่นของเด็ก สร้างบรรยากาศที่ดีเป็นมิตรต่อเด็กทุกคน
✅ ประเมินความเสี่ยง ดูแลความปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น โดยเตรียมความพร้อมของ สถานที่ ของเล่น ทั้งก่อนและระหว่างเด็กเล่นทุกครั้ง
✅ เชื่อมโยงสร้างโอกาส (เวลา) ในการเล่นอิสระ ทั้งในบ้าน ศพด. โรงเรียน ชุมชน
สิ่งที่Play workers ไม่ควรทำ
🚫 ห้ามเด็กเล่น หรือใช้การดุ ด่า ข่มขู่
💔 ใช้ความรุนแรง ทั้งคำพูด สีหน้า และการกระทำ
🛑 แทรกแซง ยัดเยียด หรือไม่ฟังเสียงเด็ก
⏸️ ขัดจังหวะการเล่น เช่น ชวนถ่ายรูป เปิดทีวี เล่นมือถือ
⚖️ เลือกปฏิบัติ ลำเอียง ให้รางวัลเฉพาะบางคน
🪜 ไม่เตรียมพื้นที่/อุปกรณ์ให้พร้อม และไม่ประเมินความเสี่ยง
3) ของเล่น สิ่งของที่อยู่รอบตัวเราจะต้องเรียนรู้และเข้าใจ คุณค่าของการเล่นที่มันจะเกิดขึ้น
“คุณค่าของการเล่น” คือ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในทุกมิติจากการจินตนาการเล่น ของเล่นทุกอย่างมีคุณค่า การตีคุณค่าจึงขึ้นอยู่กับเด็ก เด็กแต่ละคนมีประสบการณ์ จินตนาการ ความชอบที่แตกต่างกัน
โดยของเล่นที่ประดิษฐ์ด้วยตนเอง กับพ่อแม่ กับเพื่อน จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจ เห็นเป้าหมาย และสร้างความสัมพันธ์สูง รวมถึงเด็กจะรู้จักการจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ คุณค่ากับมูลค่า จึงอาจประเมินด้วยกันไม่ได้เสมอไป
ข้อสังเกตคุณค่าของของเล่น คือ การเล่นซ้ำ การต่อยอด มีการบูรณาการ
ขอยกตัวอย่าง การเล่น Loose Parts (ลูสพาร์ท)เป็นสิ่งที่เคลื่อนย้ายได้ มีลักษณะเปลี่ยนแปลงได้ ได้แก่ ธรรมชาติ ทราย ดิน น้ำ ลม ไฟ ก้อนหิน ฯลฯ
สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และเศษวัสดุเหลือใช้ คน สิ่งมีชีวิต หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ
4) สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเล่น
การส่งเสริมการเล่น ทําได้ไม่ยาก
โดย คุณปรัชทิพา หวังร่วมกลาง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา
ใครก็เล่นได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จํากัด ที่ไหนก็เล่นได้ ไม่จําเป็นว่าต้องมีพื้นที่ใหญ่ ๆ ขนาดพื้นที่ไม่ใช่ข้อจํากัด
เพราะที่ไหนก็เล่นได้ เช่น มุมห้อง ใต้โต๊ะ ใต้ต้นไม้ พื้นที่รอบโรงเรียน ของที่ใช้เล่น ไม่จำเป็นต้องแพง อาจเป็นของเหลือใช้หรือดัดแปลง สิ่งของรอบตัว ไม่จำกัดรูปทรง เช่น กล่องกระดาษ ท่อ วัสดุธรรมชาติ
เน้นของเล่นเคลื่อนย้ายได้ จะช่วยจุดจินตนาการให้เด็ก เล่นแบบไม่มีขีดจำกัด พ่อแม่หรือชุมชนอาจมาช่วยทำของเล่นหรือชิ้นส่วนเล่น มาให้ร่วมหมุนเวียนเล่นในโรงเรียน
ตัวอย่างรูปแบบการจัดการเล่นอิสระ
🔸 ชั่วโมงเล่น การจัดให้มีชั่วโมงเล่นอย่างชัดเจน เป็นชั่วโมงเล่นอิสระ เล่นได้ทั้งในห้อง นอกห้อง
🔸 วันเล่น (Play Day) เปิดวันเล่นเป็นวันพิเศษ อาจเปิดเดือนละ 1 วัน หรือเทอมละ 1 ครั้ง หรือวันสำคัญต่าง ๆ เป็นการสร้างช่วงเวลาสำคัญให้เด็กได้เข้าถึงการเล่นอย่างจริงจัง ซึ่งอาจเชิญผู้ปกครอง หรือภูมิปัญญาในชุมชน เข้ามาร่วมเป็นผู้อำนวยการเล่น
🔸 มุมเล่น โดยครูจะจัดพื้นที่ให้เด็กได้เล่นทุกวัน ตามช่วงเวลาที่ได้ตกลงกัน
🔸 Play Room จัดห้องสำหรับให้เด็กเล่น จะได้เล่นในช่วงเวลาพัก หรือนอกเวลาเรียน
🔸 พื้นที่เล่น สามารถออกแบบได้ตามบริบทของแต่ละพื้นที่เป็นหลัก รวมถึงทรัพยากรในพื้นที่ที่มีอยู่ของเดิมมีอะไร สามารถต่อเติมอะไรได้ ทำให้เด็กได้เล่นอย่างหลากหลาย และต่อเนื่องได้ทุกวัน
🔸 Play @ Home ผู้ปกครองจัดพื้นที่เล่นให้กับเด็ก ทั้งในบ้านและนอกบ้าน จัดเป็นมุมเล่นให้กับเด็ก และเล่นกับเด็ก
🔸 เล่นตามหย่อมบ้าน หรือซอยในชุมชน โดยคนในชุมชนช่วยกันออกแบบพื้นที่ กำหนดช่วงเวลา และหาของเล่นในชุมชนตามธรรมชาติ หรือภูมิปัญญาให้แก่เด็ก ๆ
บทสรุป 4 โมเดล ของหนองบัวลำภู เมืองเล่นอิสระสร้างสุข 🌱 (นำร่องทำทั้งจังหวัด)
โดย คุณวรวุฒ อมะรึก มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา
แนวทางการทำงานคือ “ครูเป็นผู้อำนวยการเล่น” เชื่อมโยงโรงเรียน ครอบครัว และชุมชนให้เด็กได้เล่นเต็มที่ มี 4 โมเดลสำคัญ ได้แก่
🔸 โรงเรียน/ศพด. เชื่อมโยงการเล่นในหลักสูตรการเรียนการสอน มีการจัดพื้นที่และกำหนดชั่วโมงเล่น มุมเล่น หรือวันเล่น
🔸 คุ้มบ้าน/ชุมชน ร่วมกันออกแบบพื้นที่เล่นปลอดภัย โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
🔸 เล่นในบ้าน ผู้ปกครองชวนลูกเล่นอิสระ ลดเวลาหน้าจอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที
🔸 มหกรรมเล่นอิสระ เทศกาลใหญ่สร้างการตระหนักรู้ระดับชุมชน-จังหวัด
เด็กยิ่งเล่นมาก ยิ่งมีความสุข ฉลาด และเติบโตอย่างสมดุล 🌱