< กลับหน้าแรก

Eat Move Sleep สร้างสมดุลให้สมวัย ฉบับที่ 6 : สามสมดุลลดเสี่ยงโรค NCDs


ชวนพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลสุขภาพด้วยการปรับพฤติกรรมเพื่อให้ห่างไกลจากกลุ่มโรค NCDs เริ่มที่สามสมดุล กินดี มีกิจกรรมทางกายอย่างเหมาะสม และนอนให้เพียงพอ

Eat Move Sleep สร้างสมดุลให้สมวัย ฉบับที่ 6 : สามสมดุลลดเสี่ยงโรค NCDs image

กลุ่มโรค NCDs (Non-Communicable Disease) คือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ แต่เกิดจากปัญหาพฤติกรรม โดยเฉพาะชีวติที่เร่งรีบ ขาดการออกกำลังกาย เน้นกินแต่อาหารสำเร็จรูปและฟาสต์ฟู้ด ไม่มีกิจกรรมทางกาย และไม่มีพื้นที่โล่งแจ้งให้ผ่อนคลายและออกกำลังกาย โรคกลุ่มนี้จะสะสมอาการทีละนิด จนโรคค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นและกลายเป็นอาการเรื้อรังในที่สุด

วิถีชีวิตเสี่ยงเกิดโรค

  • กินอาหารรสหวานจัด เค็มจัด หรือมีไขมันสูง
  • ไม่มีกิจกรรมทางกาย
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • มีภาวะเครียด

กินดี ลดเสี่ยงโรค

จากการสำรวจพฤติกรรมการเลือกซื้ออาหารของคนไทย พบว่าส่วนใหญ่เลือกซื้ออาหารตามความชอบ รสชาติ หรือเพียงเพราะอยากรับประทาน น้อยคนที่จะคำนึงถึงคุณค่าทางอาหาร

กินดีแบบไหน นักโภชนาการกดไลก์

  • อาหารว่างห้ามขาด เด็กต้องกินทุก 3-4 ชั่วโมง อาหารว่างที่มีประโยชน์
  • กินอาหารเหมือนพ่อแม่ ช่วยสร้างลักษณะนิสัยการกินที่ดี ลดปัญหาการกินยาก เลือกกิน
  • กินพอดี คำนวณแต่ละมื้อให้พอดีกับพลังงานที่จะใช้ในแต่ละวัน
  • ตัวอย่างที่ดี พ่อแม่ผู้ปกครองมีอิทธิพลกับเด็ก ควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการเลือกและกินอาหารเพื่อสุขภาพ
  • งดจอระหว่างมื้ออหาร งดจอระหว่างกินข้าวและสร้างบรรยากาศบนโต๊ะอาหารให้สร้างสรรค์
  • กำจัดสภาพแวดล้อมเสี่ยงอ้วน สร้างสภาพแวดล้อมการกินเพื่อสุขภาพ ทั้งในตู้เย็นและบนโต๊ะอาหาร

ลดหวาน ลดมัน ลดเค็ม ห่างไกล NCDs

แค่ขยับเท่ากับช่วยลดอ้วน

ปัจจัยที่ทำให้เกิดกลุ่มโรค NCDs คือการไม่มีกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอ เพราะทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายมากและระบบการเผาผลาญทำงานไม่ดี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย

”อ้วน” แล้วเริ่มกิจกรรมทางกายแบบไหนดี

  • กิจกรรมที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก
  • มีแรงกระแทกน้อย
  • เริ่มจากเบาไปหนักขึ้น
  • มีกิจกรรมทางกายระดับที่เหนื่อย แต่ยังพูดเป็นประโยคได้
  • ผ่อนคลายหลังมีกิจกรรมทางกาย

จ้ำม่ำน่ารัก แต่ขี้โรค

  • เกิดกลุ่มโรค NCDs โรคเบาหวาน โรคอ้วนลงพุง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็ง
  • กระทบระบบทางเดินหายใจ อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับ ทำให้เด็กนอนไม่เพียงพอ
  • เสี่ยงติดเชื้อง่าย เมื่อป่วยจะมีอาการหนัก อาจจะเสี่ยงติดเชื้อจนเสียชีวิต
  • กระทบการเรียนรู้ กระทบกับสมองส่วนฮิปโปแคมปัสและสมองส่วนหน้า ทำงานผิดปกติ
  • เสีย Self อาจโดนเพื่อนล้อเรื่องรูปร่างหรือทำกิจกรรมไม่ทันเพื่อน ทำให้สูญเสียความั่นใจจนกลายเป็นความเครียดสะสม

แค่นอนพอ ก็พร้อมสู้โรค

3 ข้อสังเกต เมื่อคืนเด็กนอนพอไหม์

  1. ตื่นมาตอนเช้า รู้สึกไม่สดชื่น อยากจะนอนต่อ
  2. ระหว่างวันมีอาการง่วงเหงาหาวนอนอยู่เรื่อย ๆ
  3. ถ้ามีโอกาสได้นอนช่วงกลางวัน อาจจะหลับได้ภายใน 5 นาที

นอนน้อย เสี่ยงโรค!

การนอนน้อยมีผลอย่างมากต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ยังมีผลต่อคุณภาพชีวิตด้านอื่น ๆ ตามมาด้วย

  • ร่างกายเติบโตช้า ไม่สมวัย เพราะฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโตถูกสร้างน้อยลง
  • น้ำหนักเกิน มีงานศึกษาพบว่าเด็กที่นอนดึกเป็นประจำ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1.5-2.5 กิโลกรัม
  • โรคเบาหวาน นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและระดับอินซูลินในเลือดที่สูงขึ้น
  • โรคอ้วน มีความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลในเลือด ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่เพียงพอ จึงทำให้กินมากขึ้น
  • ความดันเลือดสูงและโรคหัวใจ มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ

นอนเท่าไรก็ไม่พอ สัญญาณนี้ไม่ดีแน่

  1. กินไม่ดี กินอาหารพวกไขมันเยอะ แคลอรีสูง รู้สึกเนือยเฉื่อยชา
  2. เครียด กังวล ความเครียดเล็กน้อยสะสม จนรู้สึกเหนื่อยเพลียทั้งร่างกายและจิตใจ
  3. ป่วย หากเด็กป่วยจะกระทบการนอนหลับ ทำให้เหนื่อยง่าย
  4. ผลข้างเคียงจากยา อาจทำให้รู้สึกง่วงและเพลียระหว่างวัน
  5. ปัญหาจากการนอน การหยุดหายใจขณะหลับและอาการกรนส่งผลต่อคุณภาพการนอน

ลิงก์ไปยังเนื้อหา: กดเพื่อเรียกลิงก์


จำนวนผู้ดูเรื่องนี้: 480

เขียนเมื่อ: 13-08-2023 18:26

ที่มา: สสส.

ผู้เขียน/ผู้จัดทำ: สสส.

แคมเปญ

  • สามเหลี่ยมสมดุล

ประเภท

  • ความรู้สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านเด็ก

หมวดหมู่

  • ภาวะโภชนาการ
  • กิจกรรมทางกาย
  • สุขอนามัยพื้นฐาน

Tags

NCDs นอนน้อย ขยับ

ผู้ใช้ความรู้

  • ครู
  • ผู้ปกครอง
  • อื่นๆ

กลุ่มเป้าหมาย

  • ประถมศึกษาตอนต้น
  • ประถมศึกษาตอนปลาย

ระดับความง่ายในการนำไปใช้งาน: ใช้ได้ทันทีด้วยตนเอง

คำแนะนำการใช้:

-





ชุดความรู้นี้ นำไปใช้ประโยชน์ในโรงเรียนของท่านได้มากน้อยแค่ไหน?