เหาหาย หัวหอม” โครงการเปลี่ยนโรงเรียนให้ปลอดเหา โรงเรียนชุมชนวัดคลองไทร (ฉัตรราษฎร์บำรุง)
เขียนเมื่อ: 18-02-2025 10:50 โดย ศศิตา ปิติพรเทพิน
โรงเรียนชุมชนวัดคลองไทร (ฉัตรราษฎร์บำรุง) เป็นโรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาสถึงระดับมัธยมศึกษา มีนักเรียน 726 คน ดำเนินการภายใต้แนวคิด "เรียนดี มีความสุข" โดยให้ความสำคัญกับสุขอนามัยของนักเรียน ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางครอบครัว

ปัญหาสุขอนามัยของนักเรียน
จากการเยี่ยมบ้านนักเรียนครบ 100% พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีผู้ปกครองประกอบอาชีพรับจ้าง บางครอบครัวประสบปัญหาหย่าร้าง หรือพ่อแม่ต้องออกไปทำงานต่างจังหวัด ทำให้เด็กต้องอยู่ภายใต้การดูแลของปู่ย่าตายายที่ต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวและอาจดูแลได้ไม่ทั่วถึง หลายครอบครัวอาศัยอยู่ในห้องเช่าขนาดเล็ก ใช้พื้นที่เดียวกันสำหรับทุกกิจกรรม ส่งผลให้การดูแลสุขอนามัยทำได้ยาก เด็กบางคนไม่มีคนฝึกวินัยหรือพาไปทำกิจกรรมสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ เช่น การแต่งกายไม่เรียบร้อย ฟันผุ โรคอ้วน สายตาสั้น รวมถึง สุขอนามัยส่วนบุคคลที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
ปัญหาการติดเหาในนักเรียน
หนึ่งในปัญหาที่พบมากในกลุ่มนักเรียนหญิงคือ การติดเหา โดยเฉพาะเด็กหญิงที่มีผมยาวและไม่ได้รับการดูแลเป็นกลุ่มเสี่ยงหลัก เกือบทุกห้องเรียนมีเด็กติดเหา จำนวนผู้ติดเหาในแต่ละห้องมีตั้งแต่ 2-10 คน ทั้งในเด็กหญิงและเด็กชาย โดยเฉลี่ยห้องหนึ่งมีนักเรียนประมาณ 30 คน
ความพยายามแก้ไขปัญหาในอดีต
ก่อนหน้านี้ โรงเรียนพยายามแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ ใบน้อยหน่าและย่านาง โพกผมให้เด็กก่อนกลับบ้าน ซึ่งช่วยให้หายชั่วคราว แต่เมื่อเปิดเทอมกลับมา เด็กก็ติดเหาอีก ผู้อำนวยการพบโครงการจาก Facebook และตัดสินใจสมัครเข้าร่วม ก่อนหน้านี้เคยดำเนินการมาแล้ว 2 ครั้ง ในภาคเรียนที่ผ่านมา โดยร่วมกับเจ้าหน้าที่ รพสต.คลองเรือ ช่วยพอกผมให้เด็กที่เป็นเหา อย่างไรก็ตาม ปัญหายังคงเกิดซ้ำ บางครอบครัวกังวลว่าเด็กจะอายเมื่อต้องเข้าสู่กระบวนการดูแลสุขอนามัย บ้างกังวลเรื่อง อาการแพ้ ทำให้ไม่กล้าให้เด็กเข้าร่วม แพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เพราะหนังศีรษะเด็กยังบอบบาง โรงเรียนจึงเข้าร่วมโครงการเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง
✨โครงการ “เหาหาย หัวหอม”✨
โรงเรียนได้ดำเนินโครงการ “เหาหาย หัวหอม” ควบคู่กับการใช้ สื่อความรู้จาก Child Impact เพื่อแก้ไขปัญหาเหาในนักเรียนอย่างเป็นระบบ โดยมีมาตรการส่งเสริมสุขอนามัย เช่น ออกกฎให้นักเรียนชายตัดผมสั้น ส่วนนักเรียนหญิงต้องรวบผม พร้อมทั้งดูแลเรื่องเล็บมือและการแต่งกายให้เรียบร้อย โรงเรียนมีการ ตรวจคัดกรองนักเรียนหญิงทุกระดับชั้น โดยครูประจำชั้นจะเป็นผู้ตรวจและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง ทุก 2 สัปดาห์ ควบคู่ไปกับการดูแลสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน เช่น จัดกิจกรรมแปรงฟันและจัดเตรียมแก้วน้ำและแปรงสีฟันส่วนตัว เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเหา
นอกจากนี้ ยังมีวิทยากรจากสาธารณสุข (แพทย์แผนไทย) มาให้ความรู้เกี่ยวกับเหาและการดูแลตนเอง พร้อมทั้งอบรมเรื่องสุขภาวะเบื้องต้นโดย นักวิชาการสาธารณสุข ซึ่งจัดในรูปแบบที่สนุกสนานและมีการฝึกปฏิบัติจริง นักเรียนที่มีความเสี่ยงจะเข้าสู่ กระบวนการกำจัดเหา โดยเริ่มจากการ หมักผม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีเป้าหมายกลุ่มนักเรียน 150 คน ตั้งแต่กลุ่มที่เพิ่งติดเหาจนถึงกลุ่มที่มีปัญหาในระดับรุนแรง
โรงเรียนมีการสำรวจความยินยอมจากผู้ปกครองก่อนดำเนินการ โดยก่อนหน้านี้มีการใช้ หวีเสนียด ซึ่งครูในแต่ละระดับชั้นเป็นผู้ดำเนินการ โดยเคยทำ สัปดาห์ละครั้ง ซึ่งปกติใช้เวลาประมาณ สามครั้งจึงหาย ในรอบนี้โรงเรียนจะคัดกรองรายบุคคลและจัดการครั้งแรกก่อน ประเมินผลว่าหายหรือไม่ และพิจารณาว่าควรจัดซ้ำหรือไม่ ทั้งนี้ การแยกระดับของนักเรียนทำให้เด็กโตหลายคนรีบจัดการตนเองก่อนเข้าสู่กระบวนการ สำหรับการหมักผม โรงเรียนใช้ ใบน้อยหน่า ใบสะเดา ใบสะระแหน่ และหัวเชื้อแชมพู โดย ซื้อใบน้อยหน่าและใบสะเดาจากผู้ปกครอง ส่วนใบสะระแหน่จัดหาจากตลาด เพื่อเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสนับสนุนชุมชนและแก้ไขปัญหาเหาอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือด้านสุขอนามัยอื่นๆ
โรงเรียนยัง ร่วมมือกับผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยทำ MOU กับผู้ปกครอง และจัดทำ สมุดบันทึกสุขภาพรายเดือน ซึ่งครอบคลุมการดูแลเรื่อง เล็บ ผม สุขภาพทั่วไป การดื่มนม อาหารกลางวัน การแปรงฟัน และสุขอนามัยพื้นฐานของเด็กทั้งชายและหญิง ใช้ติดตามและส่งต่อข้อมูลด้านสุขภาพของเด็ก เช่น ปัญหาเกี่ยวกับฟันและสุขอนามัยอื่นๆ โดยกรณีที่จำเป็นจะส่งต่อการรักษาที่ โรงพยาบาลวิหารแดง ครั้งละประมาณ 15 คน
นอกจากนี้ โรงเรียนยังให้ความรู้เกี่ยวกับ สุขบัญญัติ 10 ประการ เพื่อสร้างพฤติกรรมสุขอนามัยที่ดี โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต. คลองเรือ) โรงเรียนใช้แนวทาง เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เช่น การทำน้ำฆ่าเหาจากสมุนไพร รวมถึงการฝึกอบรมทักษะความปลอดภัย เช่น การช่วยเหลือเมื่อตกน้ำ สำลักอาหาร และติดอยู่ในรถ โดยมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยผู้เชี่ยวชาญมาสอนเทคนิคการ ผายปอดและช่วยชีวิต ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก Childimpact เป็นทุนร่วม